วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

Persian History (ประวัติของแมวเปอร์เซีย)
แมวเปอร์เซีย

แมวเปอร์เซีย จัดว่าเป็นแมวพันธุ์ขนยาวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดของแมวเปอร์เซียก็คือ ตุรกีและอิหร่าน (เปอร์เซีย) และได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในปี ค.ศ. 1684 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ของ Persian Cats
พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)ปลายศรรตวรรษที่ 19 Cat lovers ชาวอังกฤษเริ่มผสมแมวแองโกร่ากับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม และต่อมาแมวที่ได้รับการพัฒนาแล้วนี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนที่ อังกฤษในชื่อว่า Persian Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง
แมวเปอร์เซียเป็นแมวที่มีรูปร่างขนาดปานกลางถึงโครงร่างใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโตและอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หักกล่าวคือมีจุดเบรคมองเห็นจุดหักตรงเหนือจมูกอย่างชัดเจน แมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียว กับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรงไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าอิริยาบถที่ดูสง่างาม แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น ซึ่งนี่คือความมหัศจรรย์ เป็นความสามารถอันสุดยอดของมนุษย์
ประเภทของแมวเปอร์เซีย 
แมวเปอร์เซียแบ่งออกเป็น 7 divisions ได้แก่

การเลี้ยงเต่าญี่ปุ่น

การเลี้ยงเต่าญี่ปุ่น

                                       โดย จอนฟอน จอมป้วนเปี้ยน

ช่วง นี้บ้านเมืองง่อนแง่นโงนเงน ถึงตอนนี้จะเลือกตั้งเสร็จแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังมาคุ มาคุ ดูทะแม่งๆอยู่ดี นักการเมืองร้อนรนวิ่งกันขาขวิด เราประชาชนตาดำๆไม่ต้องร้อนรน มานั่งดูเต่าน้ำแสนน่ารักเล่นๆให้เย็นใจดีฝ่า ฮ่าๆ เอิ๊ก ประกอบกับช่วงนี้มีคนตั้งกระทู้ถามกันเยอะแยะมากมายเลยครับ แสดงให้เห็นถึงเต่าที่ความนิยมอันดับหนึ่ง ครองใจผู้เลี้ยงได้อย่างอำตะนิรันดร์กาลจริงๆครับ...

          เต่าญี่ปุ่นครับ

          เต่าญี่ปุ่นมีชื่อสามัญภาษาฝรั่งว่า Red-eared sliders (Trachemys scripta elegans) มี ถิ่นกำเนิดไล่ขึ้นไปตั้งแต่ใต้สุดของโอกินาว่าขึ้นไปจนถึง......จว๊าก ชื่อพาเคลิ้ม ความจริงแล้วเต่าญี่ปุ่นไม่ได้มาจากญี่ปุ่นและก็ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดที่ ญี่ปุ่นนะครับ แต่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา ในแหล่งน้ำของรัฐมิสซิสซิปปี้ แล้วก็ไล่ตั้งแต่แถวๆ อิลินอยส์ ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโกเลยครับ

         แล้วทามมายมันชื่อเต่าญี่ปุ่น อันนี้เซียนท่านบอกไว้ว่า ก็เพราะว่าถิ่นกำเนิดนั้นอยู่ทวีปอเมริกาและนำเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงที่ ประเทศญี่ปุ่น แล้วคนไทยก็ไปเอานำเข้ามาจากญี่ปุ่นอีกที ก็เลยตั้งชื่อทางการค้าง่ายๆว่าเต่าญี่ปุ่นนั่นเองครับ

        เต่า ญี่ปุ่นเป็นเต่าน้ำ(เต่าชายน้ำ)มีเท้าเป็นพังผืดว่ายน้ำได้ดี ตอนเด็กๆกระดองค่อนข้างกลม สีเขียวมีลวดลาย คล้ายลายไม้ ผิวหนังก็เป็นสีเขียวมีลวดลายเช่นกัน บริเวณหางตาทั้งสองข้างมีแถบสีแดงอันเป็นที่มาของชื่อเต่าหูแดงหรือเต่าแก้ม แดงนั่นเองครับ พอโตขึ้นสีเขียวสดบนกระดองจะจางลงและกลายเป็นสีน้ำตาลอาจยังมีลายเขียวๆหลง เหลืออยู่บ้าง ขนาดความยาวตัวเมียประมาณ 1 ฟุต ตัวผู้ขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย ถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไป โตเต็มที่เมื่อมีอายุ 7 ปี อายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี

         เต่าญี่ปุ่นเป็นเต่าที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ในขณะที่ยังเป็นเด็กจะต้องการเนื้อสัตว์เป็นอาหารมากกว่าพืชในอัตราส่วนเนื้อสัตว์ร้อยละ70 พืชร้อยละ30 แต่เมื่อโตขึ้นเต่าญี่ปุ่นจะกลับเนื้อกลับตัว บริโภคพืชเป็นส่วนใหญ่ ในอัตราส่วน พืชร้อยละ90 เนื้อสัตว์ร้อยละ10 (Wilke,1979)
เต่า ญี่ปุ่นที่เราเลี้ยงส่วนมากจะซื้อมาตั้งแต่เต่ายังเล็ก ก็ควรให้อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ อาทิเช่น กุ้งฝอย เนือปลา หนอนนก หนอนแดง ไส้เดือน ฯลฯ รวมถึงอาหารปลา อาหารเต่าสำเร็จรูปต่างๆด้วยครับ ไม่ควรให้อย่างเดียวชนิดเดียวตลอด ควรให้หลายอย่างสลับสับเปลี่ยนคละเคล้ากันไป พวกพืชก็ให้ไดหลากหลายครับ ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ตำลึง ใบผักตบชวา ฯลฯ
โดยนิสัยเต่าญี่ปุ่นจะกินในน้ำเป็นหลัก (แต่ก็สามารถงับอาหารบนบกได้) ดังนั้นก็ใส่อาหารลงไปในน้ำเลยครับเดี๋ยวเค้าจัดการกันเอง

         เนื่อง จากเต่าญี่ปุ่นเป็นเต่าน้ำ (เต่าชายน้ำ) อาศัยอยู่ในน้ำ กินอยู่ขับถ่ายก็กระทำในน้ำ ดังนั้นจึงควรรักษาความสะอาดน้ำในที่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ หรือถ้าติดระบบกรองน้ำแบบเลี้ยงปลาสวยงามไปเลยก็ดีเลยครับ ภาชนะที่ใช้เลี้ยงพื้นฐานสุดๆก็คงจะเป็นตู้ปลาครับ เลือกขนาดตู้ปลาก็ขอให้ใหญ่ๆหน่อย เพราะเต่าตัวนี้อัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วครับ แต่จะว่าไปตู้ปลาก็ไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะสมสำหรับเลี้ยงเต่าญี่ปุ่นนะครับ เต่าญี่ปุ่นไม่ต้องการน้ำที่ลึกมาก เลี้ยงในอ่างหรือบ่อกว้างๆใหญ่ๆดีกว่าครับ เพราะเต่าญี่ปุ่โตเต็มที่เป็นฟุตนะครับ

         เนื่องจากเต่าญี่ปุ่นเป็นสัตว์เลือดเย็น แสงแดดจากดวงอาทิตย์จึงจำเป็นต่อเต่ามากๆๆๆๆๆ สถานที่เลี้ยงก็ควรเป็นที่ๆรับแสงธรรมชาติได้อย่างน้อย 1-2ชั่วโมง โดยมีร่มเงาไว้ให้หลบร้อนด้วย เต่าญี่ปุ่นชอบขึ้นมาอาบแดดบนบกเอามากๆ ดังนั้นจึงควรจัดให้มีตลิ่ง เชิง ชาน ดิน กรวด ทราย หรืออะไรก็ตามที่เป็นบกให้น้องเต่าขึ้นมาอาบแดดได้ แสงแดดจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร การเจริญเติบโต ช่วยดึงสารอาหารไปใช้ รวมถึงฆ่าเชื้อโรค เชื้อราที่ติดอยู่ตามกระดองและผิวหนังให้หมดไป

         ถ้า ไม่สะดวกพาเต่ามาอาบแดด ก็มีหลอดยูวีสำหรับสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ซื้อมาใช้ก็พอถูไถไปได้ แต่ยังไงก็สู้แสงแดดธรรมชาติไม่ได้หรอกครับ ฮ่าๆๆ

         ในขณะยังเด็กเต่าญี่ปุ่นจะยังไม่สามารถแยกเพศได้ชัดเจน จะเริ่มดูออกเมื่อเต่ามีขนาด 3-4 นิ้ว ขึ้นไป โดยตัวเมียจะตัวใหญ่และโตเร็วกว่าตัวผู้อย่างเห็นได้ชัด ตัวผู้จะหางยาวกว่า เล็บยาวแหลม ท้องกระดองเว้า ตัวเมียเล็บสั้น หางสั้น ท้องกระดองแบนราบ

         เต่าญี่ปุ่นมีวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไป เต่าจะเริ่มผสมพันธุ์วางไข่ 2 ช่วง คือ เดือนมีนาคมและมิถุนายน และจะวางไข่ช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม การผสมพันธุ์จะดำเนินการกันในน้ำนะครับ โดยตัวผู้จะว่ายน้ำตามตัวเมีย และเมื่อตัวเมียพร้อม ตัวเมียจะหยุดและทิ้งตัวลงใต้น้ำ ตัวผู้จะตามไปใช้เล็บยาวๆเกาะที่กระดองตัวเมีย ส่วนเว้าของกระดองตัวผู้ ก็จะประกบกับส่วนโค้งของกระดองตัวเมียพอดี จากนั้นตัวผู้ก็จะ... จว๊าก ไม่ต้องเล่ามากก็ได้ตอนนี้..
จำนวนไข่ของเต่าญี่ปุ่นที่มีการบันทึกเอาไว้ก็ประมาณ 4-23 ฟอง โดยจะวางไข่บนบก แม่เต่าจะขุดหลุมวางไข่บนพื้นดิน ใช้เวลาประมาณ 60-75 วันเพื่อฟักเป็นตัว ใครจะเพาะพันธุ์สถานที่ก็ควรมีทั้งน้ำทั้งบกทั้งพื้นดินนะครับ

          เต่า ญี่ปุ่นโตมาตัวก็ใหญ่ กินเยอะขี้ก็เยอะ สีก็เปลี่ยนไปไม่สวยน่ารักเหมือนเก่า เหม็นก็เหม็น เลี้ยงไปเลี้ยงมาเมื่อไหร่คิดได้ดังนี้แล้วก็อย่าเอาไปปล่อยตามแหล่งน้ำ ธรรมชาตินะครับ เต่าญี่ปุ่นจะไปแย่งที่อยู่และแหล่งอาหารของเต่าพื้นเมืองของเรา เต่าญี่ปุ่นกินก็เก่งกินไม่เลือก ขยายพันธุ์ง่าย อัตราการรอดสูงแถมไข่เยอะอีก ผิดกับเต่าไทยของเราไข่ทีน้อยจัง ยังไงก็คิดพิจราณาศึกษาก่อนเลี้ยง วางแผนและเตรียมการจัดการให้ดีๆ เพื่อเต่าแสนรักของเรานะคร๊าบบบ..
ปล.ภาพเต่าบนสุดเจ้าของภาพและเต่าคือคุณซัมเดย์กู้ดแห่งเวปสัตว์เลื้อยคลานแห่งสยาม
ภาพเต่าสองหัวรู้สึกจะเป็นเต่าของร้านเอ็กซ์โซติก สตูดิโอ ของคุณชีตาร์นะครับ เป็นภาพเก่าแล้วครับ


ข้อมูลก็เอามาจากสุดยอดแม็กกาซีนแห่งสยามประเทศ นิตยสารAQUA ครับ
                                  ปลากัด เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงมานาน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ชาวต่างชาติมักรู้จักในชื่อ Fighting Fish หรือ Siamese Fighting Fish และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens Regan จัดเป็นปลาพื้นเมืองดั้งเดิมของไทยที่นิยมเลี้ยงมาตั้งแต่สมัยโบราณเพื่อดู เล่น  และเพื่อกีฬากัดปลา พบได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ ตามห้วยหนอง คลอง บึง แอ่งนํ้า ลำคลอง รวมทั้งอ่างเก็บนํ้าบริเวณนํ้าตื้น มักพบในจุดนํ้าที่ค่อนข้างใส และน้ำนิ่ง หรือแหล่งนํ้าที่มีต้นไม้นํ้าขึ้น เช่น กก หญ้าปล้อง ธูปฤาษี เป็นต้น
                                              ประวัติปลากัด
ปี พ.ศ. 2383 พระมหากษัตริย์ไทยได้มอบปลากัดแก่นายแพทย์เดียวดอร์ แคนเตอร์ จากสถาบันเบนเกลเมดิคอล เซอร์วิสของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นวาดภาพ และบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับ
ปลากัดไว้ ในปี พ.ศ. 2392 นายแพทย์เดียวดอร์ แคนเตอร์ ได้ตั้งชื่อให้ว่า Macropodus pugnax, Var. แต่พบว่าเกิดความสับสนระหว่างชนิดปลากัดกับปลาชนิดอื่นที่มีการค้นพบใหม่ที่ มีลักษณะคล้ายกันบ่อย ทำให้มีการตรวจสอบอีกครั้งในปี พ.ศ.2452 โดย ซี. เท็ด เรแกน และได้ให้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้แก่ปลากัดว่า Betta splendens หมายถึง นักรบผู้สง่างาม
พบหลักฐานบันทึกถึงการเริ่มนำปลากัดไทยไปเลี้ยงในยุโรป ปี พ.ศ. 2414 โดยมีการเพาะสำเร็จที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2436 ได้นำเข้าไปในเยอรมันนี ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2439 และเข้าสู่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2453
                                            ลักษณะทางอนุกรมวิธาน
ปลากัด เป็นปลามีเกล็ดจัดอยู่ในกลุ่มของปลากริม ปลาหมอไทย ปลากระดี่ ปลาสลิด มีชื่อสามัญว่า Siamese Fighting Fish หรือมักเรียก Fighting Fish จัดอนุกรมวิธานได้ ดังนี้
Phylum : Chordata
Subphylum : Vertebrata
Superclass : Gnathostomata
Class : Actinopterygii
Subclass : Neopterygii
Division : Teleostei
Subdivision : Euteleostei
Superorder : Acanthopterygii
Series : Percomorpha
Order : Perciformes
Suborder : Anabantoidei
Family : Belontidae
Subfamily : Macropodinae
Genus : Betta
Species : Betta splendens
ปลากัด
ลักษณะโดยทั่วไป
ปลากัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีลักษณะลำตัวยาว แบนข้าง หัวเล็ก ปากเล็ก และค่อนชี้ขึ้นด้านบนเล็กน้อย มีกระดูกอยู่ที่ด้านหน้าช่องตา (preorbital) และมีเกล็ดละเอียดขนาดเล็กปกคลุมอยู่ทั่ว ทั้งส่วนหัว และตัว ความยาวจากจงอยปากถึงโคนครีบหาง ยาวประมาณ 2.9 – 3.3 เท่า ของความกว้างของลำตัว และ 3.0 – 3.3 เท่าของความยาวหัว หรือมีขนาดได้ไม่เกิน 6 เซนติเมตร
ครีบหลังอยู่ค่อนทางด้านหาง  ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 1 – 2 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 – 9 ก้าน ฐานครีบก้นยาวที่เริ่มจากครีบท้องถึงโคนครีบหาง โดยประกอบด้วยก้านครีบเดี่ยว 2 – 4 ก้าน และก้านครีบแขนง 21 – 24 ก้าน ส่วนครีบอกมีขนาดเล็กกว่าครีบอื่น ๆ ทั้งนี้ ปลากัดจะไม่มีเส้นข้างตัว ส่วนสีเกล็ดหรือลำตัวมีหลายสี เช่น แดง คราม เขียว นํ้าเงิน และสีผสมต่างๆ โดยพบว่า สีของเพศผู้จะมีสีสวยงามกว่าเพศเมีย
ปลากัดมีอวัยวะพิเศษที่ช่วยในการหายใจร่วมกับเหงือก เรียกว่า Labyrinth organ ซึ่งจะอยู่ในโพรงอากาศหลังช่องเหงือก เป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นแผ่นกระดูกอ่อนบาง ๆ เรียงซ้อนทับไปมา และมีรอยหยักคล้ายดอกเห็ดหูหนูขาว บนแผ่นจะประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้โดยตรงจากอากาศโดยไม่ต้องผ่านเหงือก จึงเป็นความพิเศษที่ทำให้ปลากัดสามารถอาศัยในน้ำที่ไม่มีออกซิเจนได้ ซึ่งจะเริ่มมีเมื่อปลามีอายุประมาณ 10 วัน
โดยธรรมชาติ ปลากัดจะมีนิสัยก้าวร้าว และหวงถิ่น มีนิสัยชอบกัดต่อสู้กัน ซึ่งพบได้มากในเพศผู้มากกว่าเพศเมีย และปลากัดเพศผู้ยังมีนิสัยชอบทำร้ายปลากัดเพศเมีย พฤติกรรมนี้จะแสดงออกเมื่อมีอายุประมาณ 1.5 – 2 เดือน
พันธุ์ปลากัด
ปลากัดที่พบในธรรมชาติในช่วงแรกๆ จะมีสีเพียงไม่กี่สี คือ สีนํ้าตาลขุ่น และสีเทาแกมเขียว มีลักษณะครีบ และหางสั้น โดยเพศผู้จะมีครีบ และหางยาวกว่าตัวเมียเล็กน้อย ต่อมาได้มีการเพาะพัฒนาสายพันธุ์จนกระทั่งมีครีบแผ่ใหญ่ และสวยงามมากกว่าพันธุ์ดั้งเดิม ในปัจจุบันมีการจำแนกปลากัดออกเป็นหลายพันธุ์ ได้แก่
1. ปลากัดลูกป่า/ปลากัดทุ่ง
เป็นปลากัดที่พบได้ตามธรรมชาติ มีลักษณะลำตัวเล็ก บอบบาง ครีบ และหางสั้น มีสีนํ้าตาลขุ่นหรือเทาแกมเขียว เป็นสีไม่ค่อยสวย และไม่ทนทานในการกัดเท่าปลากัดลูกหม้อ โดยเวลากัดกันจะใช้เวลาน้อยมาก
ปลากัดทุ่ง
2. ปลากัดลูกหม้อ/ปลากัดไทย/ปลากัดครีบสั้น
เป็นปลากัดพัฒนามาจากการเพาะเลี้ยง และการคัดพันธุ์มาหลายชั่วอายุ เพื่อการกัดต่อสู้โดยเฉพาะ มีรูปร่างลำตัวที่โตกว่าปลากัดลูกทุ่ง และปลากัดลูกผสม  มีลักษณะปากใหญ่ ว่ายนํ้าปราดเปรียว สีสันสวยงามหลากสี เช่น สีแดงเข้ม นํ้าเงินเข้ม นํ้าตาลเข้ม หรือสีผสมระหว่างสีต่างๆ ปลาชนิดนี้กัดได้ทรหดยิ่งกว่าชนิดอื่น ใช้เวลาในการกัดนาน จึงนิยมเลี้ยงมากกว่าปลากัดลูกทุ่ง และปลากัดลูกผสม โดยแบ่งประเภทของปลากัดลูกหม้อตามรูปร่างของร่างกาย ได้แก่
- ปลากัดลูกหม้อทรงปลาช่อน มีลัษณะลำตัวยาว  ทรงกระบอก คล้ายปลาช่อน มีหน้าสั้น ช่วงหัวยาวและโคนหางใหญ่ ถือเป็นปลาที่มีลีลาการต่อสู้ที่ดุดัน และมีพละกำลังมาก มีประวัติการกัดชนะเป็นอันดับหนึ่งในเวทีต่างๆ
ปลากัดหม้อ
- ปลากัดลูกหม้อทรงปลาหม้อ มีลัษณะลำตัวสั้น หนา ลำตัวกว้างหนาเมื่อมองจากทางด้านข้าง และด้านบน ลักษณะลำตัวคล้ายกับปลาหมอไทย เป็นปลาที่ทรหด และว่องไวในการกัด
- ปลากัดลูกหม้อทรงปลากราย มีลัษณะมีหน้างอนขึ้น ลำตัวสั้นแบน เป็นปลาที่คล่องแคล่ว และว่องไวในการกัด และมีประวัติการกัดที่ยอดเยี่ยม
3. ปลากัดลูกผสม
ปลากัดลูกผสมมีชื่ออีกอย่างว่า ลูกสังกะสี หรือลูกตะกั่ว เป็นปลาที่มาจากการผสมพันธุ์ระหว่างปลากัดลูกทุ่งกับปลากัดลูกหม้อ มีลักษณะลำตัวที่เกิดจากการผสม มีความอดทนในการต่อสู้เหมือนกับปลากัดหม้อ ลำตัวมีหลายสี  เป็นปลาที่นิยมเลี้ยง และนำมากัดพนันกันมากไม่แพ้ปลากัดลูกหม้อ
4. ปลากัดจีน/ปลากัดครีบยาว/ปลากัดเขมร
เป็นพันธุ์ปลากัดที่ค้นพบโดยนักเพาะพันธุ์ปลากัดหม้อ โดยพบบังเอิญขณะที่พัฒนาปลากัดให้ได้ลักษณะครีบยาว ใหญ่ และให้มีหลากหลายสีที่สวยงาม จนได้ปลากัดที่มีลักษณะหางเป็นพวง คล้ายปลาทอง สีของปลากัดชนิดนี้ ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน สีเขียวม่วง สีนํ้าเงิน ฯลฯ รวมถึงการผสมหลากหลายสีในตัวเดียวกัน ถือเป็นปลากัดที่นิยมเลี้ยงมากในประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศ จึงมีการเพาะเลี้ยงเพื่อส่งขายออกต่างประเทศ ทำให้สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับต้นๆของปลาสวยงามมีแหล่งเพาะเลี้ยงที่ สำคัญในแถบภาคกลาง และภาคตะวันตก เช่น ปทุมธานี อยุธยา ราชบุรี นครปฐม เป็นต้น

ปลากัดจีน
Guppy Culture


                                                                                  รศ.ประภาส  โฉลกพันธ์รัตน์
1 ประวัติของปลาหางนกยูง 2 การจำแนกทางอนุกรมวิธาน
3 ลักษณะรูปร่างของปลาหางนกยูง
4 สายพันธุ์ปลาหางนกยูง
5 การจำแนกเพศของปลาหางนกยูง
6 การแพร่พันธุ์ของปลาหางนกยูง
7 การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง
8 การอนุบาลลูกปลาหางนกยูง
9 การเลี้ยงปลาหางนกยูง
10 ปัญหาการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง
11 ชนิดปลาที่ดำเนินการ
เพาะพันธุ์เช่นเดียวกับปลาหางนกยูง




 
                ปลาหางนกยูง มีชื่อสามัญว่า  Guppy  or  Millions  Fish  or  Live-bearing  Tooth-carp เป็นปลาสวยงามน้ำจืดชนิดหนึ่งที่จัดว่าเป็นปลาติดตลาด เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว   ถึงแม้ว่าจะมีราคาไม่สูงมากนัก แต่มีความสวยงามและว่ายน้ำอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่ต้องตาของผู้เลี้ยงโดยทั่วไป จึงมักจำหน่ายได้ง่ายและจำหน่ายได้ดีตลอดปี ปัจจุบันนิยมเลี้ยงกันมากในตู้กระจก  ภาชนะ  หรือบ่อเลี้ยงปลาภายนอกอาคาร ซึ่งถ้าเป็นบ่อเลี้ยงปลาภายนอกอาคารมักเลี้ยงร่วมกับการเลี้ยงพรรณไม้น้ำ  เช่น ในกระถางบัว อ่างเลี้ยงสาหร่าย
1 ประวัติของปลาหางนกยูง               
                ปลาหางนกยูงมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แถบ เวเนซูเอลล่า หมู่เกาะคาริเบียนของประเทศบาร์บาโดส และ ในแถบลุ่มน้ำอเมซอน ในธรรมชาติอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด และ น้ำกร่อยที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งจนถึงน้ำไหลเอื่อย ๆ เป็นปลาที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปลากินยุง (Mosquito  Fish)   ซึ่งเป็นกลุ่มปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจ ทำให้สามารถอยู่ในน้ำที่มีออกซิเจนน้อยๆได้ดี   ในระยะเริ่มแรกนิยมใช้ปลากลุ่มนี้ในการนำไปช่วยกำจัดยุงลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติที่พิเศษถึง  2 ประการ คือ ประการแรกมีความอดทน เนื่องจากมีอวัยวะช่วยหายใจที่เรียก Labyrinth  organ   ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำที่เริ่มเน่าเสียซึ่งมีปริมาณออกซิเจนต่ำได้  ประการที่สอง คือ  มีความสามารถแพร่พันธุ์ขยายจำนวนเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ปลาหางนกยูงได้ถูกนำเข้าไปทดลองเลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อป .. 2451   และแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆในเขตร้อน เพื่อใช้ปราบยุงลายช่วยลดปัญหาเรื่องการระบาดของไข้มาลาเรีย โดยนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำขังต่างๆหรือแหล่งน้ำเสียที่มีตัวอ่อนของยุง ที่เรียกกันว่าลูกน้ำอยู่มากโดยไม่มีปลาชนิดอื่นเข้าไปอาศัยอยู่ได้ เนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ แต่สำหรับปลาหางนกยูงหรือที่เรียกว่าปลากินยุง จะสามารถใช้อวัยวะช่วยหายใจนำออกซิเจนจากอากาศมาใช้ จึงทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากนั้นยังเป็นปลาที่ชอบกินลูกน้ำ แล้วแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถควบคุมปริมาณลูกน้ำให้ลดลงได้ จึงเป็นการช่วยลดปริมาณยุงลงได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นจึงเริ่มพัฒนามาเป็นการเลี้ยงเพื่อความสวยงาม โดยนำปลาหางนกยูงที่มีความสวยงามจากประเทศเวเนซูเอลา  บาร์บาดาส  ทรินิแดด  บราซิล  และกิอานา   เข้าไปดำเนินการเพาะพันธุ์และมีการคัดพันธุ์จนได้ปลาหางนกยูงที่มีความสวยงามหลายสายพันธุ์    
2 การจำแนกทางอนุกรมวิธาน                  
                Nelson (1984)   ได้จัดลำดับชั้นของปลาหางนกยูงไว้ดังนี้    
                    Class                       :  Osteichthyes
                       Order                   :  Cyprinodontiformes (Tooth-carps)
                          Suborder           :  Cyprinodontoidei
                             Family             :  Poeciliidae (Livebearers)
                                Subfamily    :  Poeciliinae
                                   Genus       :  Poecilia
                                      Specie    :  reticulata                          
3 ลักษณะรูปร่างของปลาหางนกยูง                    
                ปลาหางนกยูงจัดว่าเป็นปลาสวยงามขนาดเล็ก เมื่อโตเต็มที่ปลาตัวผู้มีขนาด 3 - 5 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียมีขนาด 5 - 7 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามหลายสีแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยเฉพาะที่ส่วนหางจะมีความแตกต่างกันหลายรูปแบบ และเฉพาะปลาเพศผู้จะมีครีบหางยาวและสีสันเด่นสะดุดตา  
.
ภาพที่ 1  แสดงลักษณะภายนอกของปลาหางนกยูง
                                                  ที่มา : ดัดแปลงจาก Pop 1968 (2009)                                           ที่มา : http://www.thaiguppy.com/index.php
.
.
4 สายพันธุ์ปลาหางนกยูง             
               ปลาหางนกยูงเป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมเพาะเลี้ยงกันมานาน และแพร่หลายไปแทบทุกประเทศในโลก ประกอบกับเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวและสามารถผสมข้ามสายพันธุ์กันได้ง่ายมาก ทำให้เกิดปลาสายพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมาเป็นจำนวนมาก  แต่ก็พอจะจัดกลุ่มของสายพันธุ์ปลาหางนกยูงได้เป็นดังนี้  คือ
                4.1 สายพันธุ์คอบร้า (Cobra) มีลวดลายเป็นแถบยาวหรือสั้น พาดขวาง พาดตามยาว หรือ พบพาดเฉียงทั่วลำตัวตลอดถึงโคนหาง ลวดลาย คล้ายลายหนังงู  ครีบหางมีมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม (delta tail) รูปพัด (fan tail) หรือ หางบ่วง (lyre tail)  มีหลากหลายและหลากสี สอดคล้องกับลำตัว  มีชื่อเรียกตามสีที่แตกต่างกันไป  คือ  Red-tailed Tuxedo (Golden Type),  Black-tailed Tuxedo,  Blue-tailed Tuxedo,  Red-tailed King Cobra,   Yellow-tailed King Cobra,   Lace King Cobra 
.
ภาพที่ 2  แสดงลักษณะของปลาปลาหางนกยูงสายพันธุ์คอบร้า
                                           ที่มา : สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ (2553)
.
                 4.2 สายพันธุ์ทักซิโด้ (Tuxedo) ลักษณะครึ่งตัวด้านท้ายมีสีดำ หรือ สีน้ำเงินเข้ม  ครีบหางมีหลากหลายแบบ  ครีบหลังและครีบหางหนาใหญ่ มีสีและลวดลายเหมือนกัน  มีชื่อเรียกตามสีที่แตกต่างกันไป  คือ  German tuxedo (เยอรมัน)  Neon tuxedo (สันหลังสีขาว สะท้อนแสง)  Black tuxedo (ครีบหางสีดำ)  Golden tuxedo (ครีบหางสีส้ม)  
ภาพที่ 3  แสดงลักษณะของปลาปลาหางนกยูงสายพันธุ์ทักซิโด้
                                           ที่มา : สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ (2553)
.
               4.3 สายพันธุ์โมเสค (Mosaic)  พื้นลำตัวสีเทาอ่อน บริเวณด้านบนสีฟ้า หรือ เขียว อาจแซมด้วยสีแดง ชมพู หรือ ขาว  ครีบหางมีหลากหลาย  ครีบหลังขาวเรียบ หรือ ชมพูอ่อน หรืออาจมีจุด หรือ แต้มขนาดเล็ก  มีชื่อเรียกตามสีที่แตกต่างกันไป  คือ  Red-tailed Mosaic,  Santamaria Mosaic,  Blue-tailed Mosaic, Ribbon  Swallow-tailed Mosaic  
.
ภาพที่ 4  แสดงลักษณะของปลาปลาหางนกยูงสายพันธุ์โมเสค
                                           ที่มา : สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ (2553)
.
                    4.4 สายพันธุ์กร๊าซ (Grass)  ลำตัวมีหลากสี  ครีบหางมีจุด หรือแต้มเล็ก ๆ กระจาย แผ่ไปทั่งตามรัศมีของหางคล้ายดอกหญ้า  มีชื่อเรียกตามสีที่แตกต่างกันไป  คือ  Red Grass,  Blue Grass,  Yellow Grass,  Golden Yellow Grass 
.
ภาพที่ 5  แสดงลักษณะของปลาปลาหางนกยูงสายพันธุ์กร๊าซ




                                          วิดีโอระต่ายน่ารักของนักศึกษา




ประวัติความเป็นมาของแมวเปอร์เซีย

ประวัติความเป็นมาของแมวเปอร์เซีย

 
 
เป็น ที่สันนิษฐานกันว่าระหว่างการเดินทางของพ่อค้าทะเลทรายแถบเปอร์เซียและ อิหร่านไปทางตะวันตกนั้น นอกจากจะมีการบรรทุกสินค้าพวกเครื่องเทศและอัญมณีหายากไว้บนหลังอูฐแล้ว บางครั้งยังมีการขนสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ แมวขนยาว ที่เราเรียกกันว่า แมวเปอร์เซียตามแหล่งกำเนิดของมัน แต่เอกสารฮีโรกลิฟฟิคในปี
1684 ก่อน คริสตกาลนั้นได้ปกปิดความหมายที่แท้จริงของมันไว้ แมวเปอร์เซียซึ่งมีขนยาวปกคลุมตัวและมีหน้าคล้ายดอกแพนซีเป็นสายพันธุ์ที่ ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ความเชื่อง ความอ่อนน้อม และลักษณะนิสัยของมันจะทำให้มันปรับตัวเข้ากับทุกคนเป็นอย่างดี โดยธรรมชาติแล้วมันชอบบรรยากาศที่เงียบสงบและปลอดภัย แต่มันก็สามารถอยู่ในสภาพที่วุ่นวายได้หากได้รับความรักและการดูแลอย่างดี มันมีเสียงที่เงียบเบาและไพเราะไม่เป็นที่น่ารำคาญ มันมักจะใช้สายตาดวงโตของมันในการสื่อความรู้สึกและยังทำให้มันเป็นสัตว์ที่ มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก แมวเปอร์เซียนั้นมีขาที่สั้นซึ่งเหมาะกับลำตัวกว้างสั้นของมัน  มันชอบที่จะยืนทิ้งน้ำหนักลงบนขาของมันซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการกระโดดสูงหรือปีนป่ายแต่อย่างใด 
ด้วย ความที่เป็นสัตว์ที่ขี้เล่นและไม่ค่อยจะเรื่องมาก มันชอบที่จะโพสต์ท่าต่างๆและเกาะอยู่ตามหน้าต่างหรือเก้าอี้ ทำให้มันกลายเป็นเหมือนเครื่องตกแต่งราวกับภาพวาดอันล้ำค่าเลยทีเดียวแมว เปอร์เซียเป็นแมวที่มีการตอบสนองต่างๆดีเยี่ยมและกลายเป็นบ่อเกิดความสนุก แก่ผู้เลี้ยง อีกทั้งความเป็นมิตรของมันจะทำให้ผู้เลี้ยงเพลิดเพลินใจขนยาวปกคลุมตัวของมันนั้นต้องการสภาพแวดล้อมที่อยู่ในร่มและมีการป้องกันอันตรายอย่างดี การดูแลที่ดีจะต้องมีการหวีขนอยู่เสมอๆเพื่อกำจัดปัญหาขนยุ่งและปัญหาการเกิด hairball คุณ ควรจะอาบน้ำให้มันเป็นครั้งคราว โดยจะต้องทำเมื่อหวีขนและตัดเล็บปลายเท้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้ขนของมันสะอาด ดูมีสุขภาพดี และสวยงาม  มัน จะเป็นเรื่องดีมากหากคุณอาบน้ำให้มันเป็นประจำเมื่อครั้งมันยังเยาว์วัย ในขณะที่แมวเปอร์เซียสีขาวนั้นเป็นที่รักของช่างภาพและนักโฆษณา ยังมีแมวเปอร์เซียสีอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น เจ็ดหมวดหมู่ดังนี้

การ เลี้ยงแมวเปอร์เซียไว้ในร่มนั้นยังเป็นการปกป้องมันจากโรคติดต่อ และพยาธิต่างๆ เช่นเดียวกับความอันตรายจากชีวิตที่ยุ่งเหยิงในเมือง ด้วยการตรวจโรคประจำปีกับสัตวแพทย์ที่คุณไว้ใจ บำรุงด้วยอาหารที่ดี รวมทั้งการดูแลที่เหมาะสม จะทำให้มันสามารถอยู่กับคุณเหมือนเป็นสมาชิกในบ้านได้อย่างน้อยๆ 15 ปี หรือบางครั้งก็อาจจะถึง 20 เลย ก็เป็นได้ ผู้เลี้ยงแมวเปอร์เซียนั้นจะต้องอุทิศตนเพื่อการที่จะทำให้แมวของตนนั้นมี สุขภาพดี และจะต้องพามันไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เพื่อทดสอบการติดโรคต่างๆอยู่อย่าง สม่ำเสมอ แมวที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจะมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง และไม่มีแนวโน้มว่าจะเจ็บป่วยหรือมีการติดเชื้อในระบบต่างๆในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ด้วยดวงตาดวงใหญ่ของมันหมายถึงว่าการที่มันมีน้ำตาออกมาบ้างก็ถือเป็นเรื่อง ปกติ และการล้างหน้าให้มันทุกวันคือคำแนะนำของสัตวแพทย์

                            
                                                                                                                                                




ประวัติของปลาทอง

 
        ปลาทองมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น ต่อมาถูกนำไปเลี้ยงในยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 17 และถูกนำไปเผยแพร่ในอเมริกา ในศตวรรษที่ 19 ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นรู้จักผสมพันธ์ปลาทองมานานแล้ว และได้ปลาทองลูกผสมที่น่า สนใจ มีสีหลากหลายตั้งแต่สีแดง สีทอง สีส้ม สีเทา สีดำและสีขาว แม้กระทั่งปลาทองสารพัดสีในตัวเดียวกัน ปลาทองมีชีวิตอยู่ตามแหล่งธรรมชาติ จนกระทั่งมีชาวจีนบางคนได้จับมาเลี้ยงตามบ่อเพราะดูน่าตาสวยดี สีสันแปลกตา สร้างความเพลิดเพลินใจได้เป็นอย่างดี จึงเลี้ยงสืบต่อกันมาเรื่อยๆ ทำให้มีการแปรผันผันแปร และพัฒนาเรื่อยมา

       
   ประกอบกับความนิยมเลี้ยงที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปลาทองที่เลี้ยงมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปรไป เช่น แต่เดิมปลาทองจะหาอาหารตามบ่อน้ำธรรมชาติเพื่อเลี้ยงชีวิตซึ่งต้องออก เรี่ยวออกแรง ไขมันส่วนเกินก็ไม่มี หุ่นก็เพรียวลม ครั้นย้ายนิวาสสถานมาอยู่ตามบ่อเลี้ยง อาหารปลาก็ถูกนำมาเสริฟกันถึงขอบบ่อ แถมเสิร์ฟเป็นเวลาซะด้วย ทำให้ปลาทองบางตัวพุงป่องดูอ้วนตุ้ยนุ้ยขึ้นและหากลักษณะต่างๆ ดังกล่าวเกิด เป็นที่ประทับใจมนุษย์หรือคนดูคนชมว่าสวยแล้ว ก็จะถูกขุนขึ้นไปเรื่อยๆ ตามสูตร
          ปลาทองถูกมนุษย์เลี้ยงมาตั้งแต่อดีต ประมาณ พ.ศ. 1161-1450 หรือนับเป็นพันปีมาแล้ว ปลาทองในสภาพธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงนั้น ก็ได้พัฒนาตัวเองทำมาหากินตามธรรมชาติ สืบทอดสายพันธ์มาจนถึงปัจจุบัน ก็แทบจะเป็นคนละปลาเดียวกันกับปลาทองของวันนี้เลย เพราะเมื่อพิจารณาดูจะพบว่าปลาใน ปลาตะเพียนทั้งหลายแหล่ต่างก็อยู่ในเทือกเขาเหล่าตระกูลเดียวกันกับปลาทอง คือ FAMILY CYYPRNDAE
ปลาทองชนิดต่าง ๆ

ชื่อไทย         ทองหัวสิงห์
ชื่ออังกฤษ     Lion head gold fish
ชื่อวิทยาศาสตร์     Carasius auratuss
แหล่งกำเนิด     ประเทศจีน

          ปลาทองหัวสิงห์เป็นปลาทองชนิดที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้เลี้ยงปลา ปลาชชนิดนี้มีรูปทรงสง่างาม มีอยู่ 2 สายพันธุ์คือ สิงห์จีนและสิงห์ญี่ปุ่น สิงห์จะมีลักษณะหัวใหญ่ส่วนใหญ่จะมีวุ้นหนา ลำตัวยาว สิงห์ญี่ปุ่นส่วนหัวจะเล็กกว่าส่วนใหญ่ไม่มีวุ้นลำตัวสั้น หลังจะโค้งมน หางสั้นและเชิดขึ้นดูสง่างาม ปลาทองหัวสิงห์เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินลูกน้ำ ไรแดง ไข่น้ำ การเลี้ยงปลาชนิดนี้ให้ได้ดีควรเลี้ยงในอ่างตื้น ๆ ลึกไม่เกิน 8 นิ้ว จะทำให้ปลามีรูปร่างสวยงาม

ชื่อไทย         ริวกิ้น
ชื่ออังกฤษ     Veiltail
ชื่อวิทยาศาสตร์     Carrasius auratus
แหล่งกำเนิด     ประเทศจีน

          ปลาทองริ้วกิ้นเป็นปลาทองที่นิยมของ ผู้เลี้ยงปลา เนื่องจากมีรูปทรงสวยงาม ลำตัวป้อมสั้น ท้องใหญ่ หางยาวเป็นพวง ส่วนหัวสูง ลำตัวเป็นสีส้ม หรือส้มแดงปนขาว เวลาว่ายน้ำจะเป็นถ่วงท่าที่ดูสง่างาม ปลาชนิดนี้มีทั้งที่สั่งมาจากประเทศญี่ปุ่นและเพาะพันธ์ขึ้นเองในประเทศ ปลาจากญี่ปุ่นจะมีรูปร่างและสีดีกว่าของไทย แต่มีราคาสูงกว่าของไทยมาก ตู้ที่เลี้ยงปลาชนิดนี้ต้องมีน้ำใสสะอาด ไม่ควรให้น้ำเย็นเกินไป ปลาริ้วกิ้นชอบกินลูกน้ำ ไรสีน้ำตาล และอาหารสำเร็จ